วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557

หมู่ถ้ำเบดซา Bedsa Caves ตอนที่ ๕

จิตเป็นพระวินัย
จิตเป็นพระสุตตันตะหรือพระสูตร
จิตเป็นพระอภิธรรม
เพราะทุกอย่างมาจากจิต ใน ๑๒๑ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าคือ จิต ๑๒๑ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ นิพพาน ทั้ง อย่างนี้คือพระพุทธวจนะ พระพุทธวจนะคือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา 
จิต ๑๒๑ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ นิพพาน ออกมาเป็นพระวินัย ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
จิต ๑๒๑ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ นิพพาน ออกมาเป็นพระสุตตันตะ ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
จิต ๑๒๑ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ นิพพาน ออกมาเป็นพระอภิธรรม ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
คำว่าพระพุทธเจ้าคือ จิต ๑๒๑ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ นิพพาน นี่คือพระพุทธวจนะ ทั้งหมดที่พระพุทธองค์ทรงเทศนา
พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงแสดงพระสุตตันตะมากหรือน้อย ไม่เหมือนกัน แต่ทั้งหมดมาจากจิต เจตสิก รูป นิพพาน
อ่านพระไตรปิฎกที่แปล อ่านเหมือนรู้แต่ไม่รู้ คือรู้แบบไทยๆ เมื่อรู้แบบไทยๆ ก็ยกภาษาไทยขึ้นมาสาธยาย (คือเอามาท่องกันทั่วไปในปัจจุบัน จะมีความเข้าใจผิดว่าภาษาแปลเป็นพระพุทธวจนะ) ไม่สามารถเข้าถึงธรรมะได้ เมื่อไม่เข้าใจถึงพระพุทธวจนะที่แท้จริง ทำให้เรานึกว่าเราเข้าใจ ก็ฌานแปลว่าเพ่ง คนก็เพ่ง สัตว์ทั้งหลายเขาก็เพ่ง นี่จะเป็นความหมายว่าเราเข้าใจเป็นธรรมะได้อย่างไร เราเป็นคนไทยก็ต้องอ่านภาษาไทย ยกจากภาษาไทยเข้าสู่พระพุทธวจนะอีกชั้นหนึ่ง เมื่อเราอ่านภาษาไทย เราต้องมีพื้นภาษาอภิธรรมกึ่งภาษาไทยก่อน เราต้องมีอภิธรรมแบบเรา อภิธรรมภาษาไทยและอภิธรรมแบบพระพุทธวจนะต้องไป อย่าง จนกว่าเราเข้าใจแล้วจึงจะเป็นภาษาพระพุทธวจนะได้
จิต ๑๒๑ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ นิพพาน ๑ หรือเรียกอีกอย่างว่าปรมัตถธรรม (ซึ่งเป็นพื้นฐานของอภิธรรม) จะนำมาใช้พิจารณาจำแนกในรายละเอียดลงไปอีก จนในที่สุดจะสลายความเป็นอัตตาไปสู่อนัตตา ไม่มีบุคคลตัวตนเราเขา การสลายความเป็นอัตตาไปสู่อนัตตานี้จำเป็นต้องใช้ความรู้ทางปรมัตถธรรมเป็นอย่างยิ่ง เพื่อทำให้ภาษามคธเข้าสู่ธรรมะของพระพุทธองค์ เป็นภาษาธรรมะ เป็นพระพุทธวจนะ ที่ล้วนเป็นไปเพื่อสำเร็จ พระอรหันต์ทั้งสิ้น เพราะพระพุทธดำรัสมาจากมหากิริยาจิต เกิดจากความตรัสรู้ ของ พระพุทธเจ้า เราจึงจำเป็นต้องท่องจำจิต เจตสิก รูป และสิกขาปรมัตถธรรมเพื่อความเข้าใจอย่างถ่องแท้

รูปสลักระหว่างเสาหิน ที่เลือนมาก ต้องใช้กำลังของกล้องที่มีความคมชัดสูง

ถ้าใครมีโอกาสได้ไปสักการะกรุณาอย่าเผลอเหยียบ ถ้าจะช่วยถ่ายรูปด้วยกล้องคมชัดสูงมาให้ก็จะขอบคุณมาก

ยังสลักไม่เสร็จ

หมู่ถ้ำด้านขวา

ด้านขวาของถ้ำหลัก เป็นหมู่ถ้ำที่เป็นกุฏิ

มีช่องเก็บของ

เช่นกัน เป็นช่องสำหรับเก็บของ

สำหรับที่ถ้ำเบดซานี้เป็นโชคดีที่ทางการอินเดียยังปิดทำเพื่อทำการบูรณะ ถ้ำพุทธอื่นๆ บริเวณนี้พบการขีดเขียนเต็มไปหมด ให้รู้สึกหดหู่ใจ เนื่องจากไม่ใช่สถานที่ของศาสนาเขา เขาก็ไม่สนใจ
ชาวพุทธเราควรช่วยกันดูแลพุทธสถาน
ในต่างประเทศหาชาวพุทธได้ยาก
ควรสนใจดูแล
พุทธสถานจะอยู่ต่อไปให้รุ่นลูกหลานได้มีโอกาสได้ไปสักการะ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
(ควรอ่านตามลำดับตั้งแต่โพสต์แรก มิฉะนั้นท่านอาจสับสนและไม่เข้าใจ)

วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

หมู่ถ้ำเบดซา Bedsa Caves ตอนที่ ๔

ขณะจิต ๑ ขณะ มี ๓ อนุขณะคือ อุปาทะ ฐีติ ภังคะ หมายถึง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ สะสม ไม่ใช่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เพราะภังคะนำไปสู่ภวังคะ ไม่มีจิตใดจะดับไป ที่ดับแล้วไปเกิดใหม่คือรูปเท่านั้น แต่จิตจะไม่สูญหายเลยมีแต่จะสร้างภพชาติให้เราไปเกิดใหม่ต่อไปไม่จบสิ้น ยกเว้นแต่สามารถกำจัดกิเลสแล้วดับจิตเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนเข้าสู่พระนิพพาน ถ้าจิตดับได้เองก็ไม่ต้องมีพระพุทธเจ้าแล้ว เพราะสามารถบรรลุธรรมได้ง่ายมาก
จิตนั้นสะสมทุกสิ่ง รับเข้ามาทุกอย่าง ทุกอย่างเป็นจิต เช่น ที่นอน หมอน มุ้ง เตียงนอน โคมไฟ ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ผัก ผลไม้ ข้าว ปลา เพื่อน ฯลฯ มีความละเอียดมาก ชั่วเวลาดีดนิ้วเท่านั้นจิตเกิดขึ้นเป็นแสนโกฏิขณะ(๑ โกฏิเท่ากับ ๑๐ ล้าน)เช่นทุกคำที่ท่านเห็นในตอนนี้ ตั้งแต่ ก-ฮ สระ พยัญชนะทุกตัวเป็นจิตทั้งสิ้น ธรรมะที่ท่านได้อ่านอยู่นี้ใช้จิตสะสมจำนวนมหาศาล จิตนั้นละเอียดอ่อนกว่าที่คิดมาก เช่นการทะเลาะกัน เป็นจิตโลภะที่ ๑ ทะเลาะกับจิตโลภะที่ ๒ จิตโลภะทะเลาะกับจิตโทสะ ฯลฯ จิตทะเลาะกันเอง แต่เราจะยึดว่าเราทะเลาะกับคนอื่น แต่คนอื่นที่ว่านั้นก็เป็นของเราด้วย คือเป็นจิตเราด้วยนั่นเอง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นจิตทั้งสิ้น อาศัยจิตจึงเกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เป็นสิ่งที่เราได้เคยสร้างไว้ เช่น การเรียนวาดรูป บางท่านเพียงแค่เห็นอาจารย์วาดรูปให้ดูก็วาดตามได้อย่างสวยงาม บางท่านดูแล้วเรียนแล้ว อาศัยการฝึกฝนมากก็ทำได้ บางท่านแม้จะทำอย่างไรฝึกฝนมากเพียงไรก็ยังทำไม่ได้ เป็นเพราะทุกสิ่งทุกอย่างอาศัยจิตจึงเกิดขึ้น เราได้เคยสร้างไว้ก่อนแล้ว ถ้าเราไม่เคยสร้างไว้ จะไม่ปรากฏแก่เราหรือเราจะไม่สามารถทำได้ ในเบื้องต้นก็จำเป็นต้องจดจำจิตว่าจิตมี ๑๒๑ และมีอะไรบ้าง
จิตสร้างรูปสร้างโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ขั้วโลก จักรวาล แม่น้ำ ต้นมะม่วง ต้นสัก ต้นชมพู่ พ่อ แม่ พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา โรงเรียน วิชาความรู้ ฯลฯ เป็นรูป แม้กระทั่งความคิดยังเป็นรูป ขอยกตัวอย่าง ท่านลองคิดเป็นภาษาเยอรมัน ภาษาญี่ปุ่น จีน เกาหลี ท่านสามารถคิดได้หรือไม่ เราก็จะคิดแต่ภาษาไทยเท่านั้น การทำงาน อารมณ์ ความคิด สิ่งที่เราสามารถสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ต่างๆ เป็นรูปทั้งสิ้น จิตที่อยู่ลึกมากๆนั้นไร้ร่องรอยไม่สามารถรู้ได้เลย การทำงานของจิตชั่วเวลาดีดนิ้วเท่านั้นจิตเกิดขึ้นเป็นแสนโกฏิขณะ ทำงานหลายชั้นนับไม่ถ้วนกว่าจะขึ้นมาเป็นรูปให้เราได้รู้สึก สัมผัสได้ ทุกสิ่งที่เรารับรู้ได้เป็นรูปทั้งสิ้น ในเบื้องต้นก็จำเป็นต้องจดจำรูปว่ารูปมี ๒๘ และมีอะไรบ้าง
การทำงานของจิตต้องอาศัยเจตสิก จิตเกิดที่ไหน เจตสิกเกิดที่นั่น เจตสิกเกิดขึ้น อุปาทะ ฐีติ ภังคะ พร้อมกับจิต จิตเกิดขึ้นเป็นแสนโกฏิขณะ เจตสิกก็เกิดขึ้นเป็นแสนโกฏิขณะ จิตมีคุณสมบัติอย่างไรเจตสิกก็เป็นเช่นนั้นด้วย เช่น จิตเป็นอกุศลเจตสิกก็เป็นอกุศลด้วย จิตเป็นกุศลเจตสิกก็เป็นกุศลด้วย จิตเป็นวิบากเจตสิกก็เป็นวิบากด้วย เจตสิกมี ๕๒ ซึ่งต้องจดจำ พุทธวจนะเป็นข้อธรรมที่สำคัญทั้งสิ้น เจตสิกเป็นพื้นฐานเช่นเดียวกับจิต ถ้าเราไม่รู้จักเจตสิกจะสับสนกับองค์ธรรม เช่น ศรัทธา สติ สมาธิ ปัญญา ไม่ใช่เพียงเจตสิกแล้ว แต่เป็นจิต เจตสิก รูปในโลกุตตระที่ทำงานกันอย่างมากมายมหาศาล เป็นองค์ธรรมซึ่งกว่าจะได้มานั้นแสนยาก เนื่องจากเป็นจิต เจตสิก รูปที่ทำงานในฝ่ายกุศลหรือโลกุตตระเท่านั้น ในเบื้องต้นก็จำเป็นต้องจดจำเจตสิกว่าเจตสิกมี ๕๒ และมีอะไรบ้าง
จากที่ได้อธิบายมาท่านคิดว่าเรามีความสามารถจะดูจิตได้หรือไม่ แม้แต่พระอรหันต์ท่านยังกล่าวว่าจิตนั้นมองไม่เห็น
สัญลักษณ์ Spiral (เกลียว) คือการสิกขาธัมมต้องไม่หยุดนิ่ง มีการพัฒนาเรียนรู้มากขึ้นๆ มิฉะนั้นจะยึดติดเป็นอุปาทาน

การตีความนั้นสำคัญที่ต้องอิงหลักธัมมในพระพุทธศาสนาเป็นสำคัญ และไม่ดูเป็นการลบหลู่ในคุณพระรัตนตรัย

ในสมัยแรกๆ ยังไม่มีพระพุทธรูปเนื่องจากพระอรหันตเจ้าท่านเกรงว่าจะเป็นการอวดอุตริมนุสสธรรม เพราะท่านไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าจึงไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้ามีหน้าตาเป็นอย่างไร

ในสมัยพระเจ้าธรรมาโศกราช (พระเจ้าอโศก) ยังไม่มีการปั้นพระพุทธรูป จึงใช้สัญลักษณ์แทนพระรัตนตรัย

เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้ยกทัพมาตีแว่นแคว้นต่างๆ (ประเทศอินเดียในปัจจุบัน) พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากจึงอยากเห็นพระพุทธเจ้า แต่ไม่มีใครเคยเห็นจึงไม่สามารถแนะนำได้ พระองค์จึงใช้เทวรูปเป็นต้นแบบในการปั้น อย่างไรก็ตามทรงใช้เวลาอยู่ในอินเดียเพียง ๑ ปี ๘ เดือนเท่านั้น และมีแต่การทำศึกสงครามเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้มีการสิกขา (ศึกษา) ธรรมแต่อย่างใด ก็เสด็จกลับประเทศกรีกแล้ว

ท่านคิดว่าพระพุทธรูปเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า จริงหรือ?

ก่อนปรินิพพาน พระพุทธองค์ได้มีพุทธวจนะ ดังนี้คือ โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา. ดูก่อนอานันทะ(อานนท์) ธรรม(ธมฺม) และ วินัย(วินย)ใด ที่ตถาคตแสดงแล้ว บัญญัติ(ปญฺญตฺติ)แล้ว แก่เธอทั้งหลาย ธรรม และ วินัยนั้น จะเป็น ศาสดาของเธอทั้งหลาย ในกาลล่วงไปแห่งตถาคต


จึงมีแต่พระพุทธวจนะเท่านั้น ที่จะเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าได้

ชาวพุทธเราควรช่วยกันดูแลพุทธสถาน
ในต่างประเทศหาชาวพุทธได้ยาก
ควรสนใจดูแล
พุทธสถานจะอยู่ต่อไปให้รุ่นลูกหลานได้มีโอกาสได้ไปสักการะ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
(ควรอ่านตามลำดับตั้งแต่โพสต์แรก มิฉะนั้นท่านอาจสับสนและไม่เข้าใจ)

หมู่ถ้ำเบดซา Bedsa Caves ตอนที่ ๓

พระวินัยมีอยู่ในทุกธรรมขันธ์ เช่นจิตมี ๑๒๑ ภวังคะ ภวังคจิตที่ ๑ คือ โสมะนัสสะสะหะคะตัง ทิฏฐิคะตะสัมปะยุตตัง อะสังขาริกังกามาวะจะระ อะกุสะละโลภะมูละจิตตัง จะไปสะสมรวมกันเรียกว่าภวังคะ  เป็นจิต ๑ ภวังคะ โดยไม่ไปปะปนกับภวังคจิตที่ ๒ คือ โสมะนัสสะสะหะคะตัง ทิฏฐิคะตะสัมปะยุตตัง สะสังขาริกังกามาวะจะระ อะกุสะละโลภะมูละจิตตัง ภวังคจิตที่ ๑ มีขอบเขตหรือมีวินัยเฉพาะของตนเอง ดังนั้นคำสอนคือพระพุทธวจนะ ใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ มีพระวินัยอยู่ทั้งสิ้น
สำหรับพระวินัย ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ (ซึ่งคนโดยมากเข้าใจผิดว่าพระวินัยคือศีล ๒๒๗ ศีล ๓๑๑ .......ตอนนี้ขอให้ทำความเข้าใจใหม่ว่าพระวินัยคือ ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์)คือข้อควรปฏิบัติ เป็นผล เป็นชีวิตประจำวันของคนเรา ซึ่งไม่เหมือนกับพระอภิธรรม เป็นเหตุ ไม่อิงกับบุคคลแต่อิงกับการทำงานของจิต เจตสิก รูป (ซึ่งจะได้อธิบายต่อไป) คำสอนคือพระพุทธวจนะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็นพระวินัย ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์  พระสุตตันตะหรือพระสูตร มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และพระอภิธรรม มี ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
จะเห็นได้ว่าวินัยมีความหมายได้หลายนัย จึงเรียกว่า วินัย และเพราะวินัยคือการฝึกฝนอบรมกายและวาจา จึงเรียกว่าวินัย

ถ้ำนี้เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ ในทุกสัญลักษณ์มีพระวินัยแทรกอยู่

ไม่ควรตีความโดยเปรียบเทียบกับวัฒนธรรม ประเพณี หรืออิงตามคำสอนของศาสนาอื่นจะเกินขอบเขตคือเกินพระวินัย
ไม่ควรตีความโดยไม่มีพื้นความรู้ เพราะนั่นเท่ากับท่านไม่มีวินัย

ทุกสิ่งที่ท่านทำหากไม่มีวินัย ย่อมเกิดอกุสลจิตเป็นบาปกรรม ทำให้ตกต่ำ ในบั้นปลายอาจไปสู่อบายภูมิ
ชาวพุทธเราควรช่วยกันดูแลพุทธสถาน
ในต่างประเทศหาชาวพุทธได้ยาก
ควรสนใจดูแล
พุทธสถานจะอยู่ต่อไปให้รุ่นลูกหลานได้มีโอกาสได้ไปสักการะ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
(ควรอ่านตามลำดับตั้งแต่โพสต์แรก มิฉะนั้นท่านอาจสับสนและไม่เข้าใจ)

หมู่ถ้ำเบดซา Bedsa Caves ตอนที่ ๒

ก่อนอื่นในเบื้องต้นต้องทราบว่า พระสุตตันตะ (พระสูตร) และพระวินัยเป็นผล  พระอภิธรรมเป็นเหตุ ดังนั้นในการทำความเข้าใจหลักธรรมคำสอน ถ้าไม่เริ่มจากเหตุคือพระอภิธรรมแล้วก็ไม่สามารถจะเข้าใจข้อธรรมที่แท้จริงได้  คำว่าสุตตันตะคือสะสมการฟังมาแล้วจากอดีตซึ่งพระพุทธองค์จะสอนตามที่แต่ละท่านได้สะสมมา จะเห็นว่าโดยส่วนใหญ่ฟังธรรมแล้วจะบรรลุโดยเฉียบพลันห่างไกลจากคนรุ่นนี้มากที่จะนำพระพุทธวจนะมาท่อง สิกขา (เรียนรู้) กี่รอบก็ตามยังไม่สามารถเห็นธรรมได้ ชีวิตประจำวันของเรามีปกติน้อยใจ เสียใจ อ่อนไหว โกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท จองเวร อยู่ว่างๆ ก็ฟุ้งซ่าน หวั่นไหวไปกับคำพูดต่างๆ นานา ต่างจากในสมัยพุทธกาลที่ท่านเป็นผู้ใกล้บรรลุธรรม มีอารมณ์เบิกบาน มีความยึดติดมีอุปาทานน้อยทั้งสิ้น ทั้งหมดเป็นผู้มาตั้งพระศาสนาร่วมกับพระบรมศาสดา การบำเพ็ญให้ถึงคุณสมบัติของพระโพธิสัตว์จึงยากมาก ต้องมีตัวอย่างทั้งกุศลและอกุศลจึงสามารถสอนคนได้ แม้จะดูเหมือนเป็นฝ่ายอกุศลแต่ก็เป็นผู้ร่วมสร้างบารมีและติดตามพระมหาโพธิสัตว์มาทั้งสิ้น เช่น ภิกขุที่ทำผิดพระวินัย พระมหาเทวทัต นางจิณจมานวิกา ฯลฯ แต่ละท่านมีบุญบารมีมากแม้ไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินี้แต่ในเวลาข้างหน้าไม่นานก็สามารถบรรลุธรรมได้ เช่น พระมหาเทวทัต ท่านสะสมบารมีมามาก แม้เมื่อได้ล่วงเกินพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วต้องตกสู่อเวจีมหานรก เมื่อท่านได้พ้นจากอบายภูมิแล้วได้เกิดเป็นมนุษย์จะบรรลุธรรมเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในชาตินั้น โดยไม่ต้องบำเพ็ญบารมีต่ออีก การพูดตำหนิติเตียนจึงไม่ควร พระสุตตันตะจึงเป็นตัวอย่างสำหรับอนุชนรุ่นหลังอย่างเราๆ ท่านๆ แต่เนื้อธรรมที่จะมาทำความเข้าใจจึงเป็นพระอภิธรรม
ถัดจากรั้วกั้นไปไม่กี่ก้าว (อยู่กลางเสาของรูปที่แล้ว) ผู้ดูแลจะระวังไม่ให้เดินตรงกลาง กลัวจะไปเหยียบ

ถ้ามาตอนพระอาทิตย์ขึ้น ถ้ำจะยิ่งสวยงามมาก การออกแบบให้แสงอาทิตย์ไปรวมกันที่สถูปดูเด่นเป็นสง่าอย่างยิ่ง

หน้าต่าง

การแกะสลักของถ้ำนี้บอกถึงอายุที่เก่าแก่มาก เนื่องจากไม่มีพระพุทธรูปอยู่เลย การสร้างพระพุทธรูปจริงๆ นั้นเริ่มมีการสร้างขึ้นมาตั้งแต่ระหว่าง พ.ศ. ๕๐๐ ถึง ๕๕๐
ชาวพุทธเราควรช่วยกันดูแลพุทธสถาน
ในต่างประเทศหาชาวพุทธได้ยาก
ควรสนใจดูแล
พุทธสถานจะอยู่ต่อไปให้รุ่นลูกหลานได้มีโอกาสได้ไปสักการะ

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
(ควรอ่านตามลำดับตั้งแต่โพสต์แรก มิฉะนั้นท่านอาจสับสนและไม่เข้าใจ)

หมู่ถ้ำเบดซา Bedsa Caves ตอนที่ ๑



หมู่ถ้ำเบดซา Bedsa หรือ Bedse Caves เข้าใจกันว่าสร้างสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีอายุประมาณ 2,300 ปี อยู่ในเมืองปูเน่ รัฐมหาราษฏระ ห่างจากเมืองมุมไบ 120 กม.
พระพุทธศาสนามีมาก่อนศาสนาฮินดู จากพระไตรปิฎกกล่าวได้ว่าตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงสมัยพุทธกาลยังไม่มีใครสอนเรื่องพระเจ้าเป็นผู้สร้าง พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนเรื่องชนชั้นหรือคนไม่เท่ากัน และประเพณีสมัยนั้นก็ยังเป็นชายสู่ขอหญิงเพื่อแต่งงาน หมู่ถ้ำต่างๆ ก็ยังเป็นหลักฐานยืนยันเป็นอย่างดี เนื่องจากไม่มีศาสนสถานของศาสนาใดเก่าแก่กว่า  ในสมัยพุทธกาลจนถึงสมัยพระเจ้าอโศกยังนิยมสร้างวัตร(วัดในภาษาไทย)ตามถ้ำ ไม่นิยมสร้างวัตรในที่แจ้ง
ศาสนาฮินดูนับถือตรีมูรติ มีพระศิวะเป็นผู้สร้างโลก สอนเรื่องชนชั้นมีวรรณะต่างๆ ๔ วรรณะคือพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์และศูทร วรรณะจัณฑาลก็คือเป็นขอทานได้อย่างเดียว ไม่นับเข้าในสังคมเลย รวมทั้งประเพณีหญิงสู่ขอชาย
พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดของสัตวะทั้ง ๓๑ ภูมิ (สัตวะคือผู้ท่องเที่ยวไปในวัฏฏะสงสาร ซึ่งมีทั้งหมด ๓๑ ภูมิ) มีการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบสิ้น โดยมีกรรมและวิบากสร้างภพ ภูมิที่ตนจะไปเกิด ไม่มีใครมาบันดาลให้ ชาวพุทธจึงควรมีความเชื่อที่ถูกต้องก่อน
นิยตมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิดที่ร้ายแรงนำไปสู่อบายภูมิแน่นอน เป็นกรรมหนัก คือครุกรรม) มี ๓ ข้อคือ
๑.อเหตุกทิฏฐิ ไม่เชื่อในเหตุคือชาติที่แล้วๆ มาว่ามีจริง ความเห็นผิดซึ่งยึดถือว่า   ความเศร้าหมอง หรือความบริสุทธิ์ของสัตว์เกิดขึ้นเอง    ปฏิเสธทั้งเหตุและผล    เป็นการห้ามทั้งกรรมและวิบาก
๒.นัตถิกทิฏฐิ ไม่เชื่อในผลคือชาติหน้าและชาติต่อๆไปว่ามีจริง ผลของการกระทำย่อมไม่มี   เป็นการห้ามทั้งกรรมและวิบากเช่นกัน พวกที่เชื่อว่าตายแล้วสูญจัดอยู่ในข้อนี้
๓.อกิริยทิฏฐิ ไม่เชื่อทั้งชาติที่แล้วและชาติหน้าว่ามีจริง ความเห็นผิดซึ่งยึดถือว่า    บาปบุญที่ทำแล้ว   ย่อมเป็นเพียงสักแต่ว่าอาการกระทำเท่านั้น  คือ  ทำความดี  ก็เป็นเพียงสักแต่ว่าทำเท่านั้นไม่เป็นบุญ      ทำความชั่ว  ก็เป็นเพียงสักว่าทำเท่านั้น  ไม่เป็นบาป เป็นการห้ามทั้งกรรมและวิบากเช่นกัน
นิยตมิจฉาทิฏฐิทั้ง ๓ ข้อนี้หากไม่แก้ไขจะไปนรกทันทีในชาติต่อไป ไม่มีระหว่างคั่นคือครุกรรม แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้  เป็นเครื่องกั้นทั้งสวรรค์  และมรรคผลนิพพาน เป็นตอของวัฏฏะ  คือไม่สามารถออกจากสังสารวัฏได้
จะเห็นได้ว่า แม้แต่ชาวพุทธเองก็มีไม่น้อยที่ไม่เชื่อเรื่องชาตินี้ชาติหน้า พ่อ แม่ พี่ น้อง ฯลฯ รวมถึงโลกที่ตนอาศัยอยู่ย่อมเกิดจากตนเองในชาติที่แล้วๆมาเป็นผู้สร้าง ไม่ใช่พระเจ้าแต่อย่างใด



ภาพถ่ายไล่จากซ้ายมาขวา Bedsa หรือ Bedse Caves 




เขาไม่ให้เข้าจ้ะ

โปรดสังเกตมีรอยสีที่ถูกทา เมื่อก่อนมีทหารอังกฤษชอบถ้ำนี้มากมาเป็นประจำ จึงมีคนมาทาสีเอาใจ รายละเอียดบางอย่างก็จะถูกเลือนไป
ชาวพุทธเราควรช่วยกันดูแลพุทธสถาน
ในต่างประเทศหาชาวพุทธได้ยาก
ควรสนใจดูแล
พุทธสถานจะอยู่ต่อไปให้รุ่นลูกหลานได้มีโอกาสได้ไปสักการะ

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
(ควรอ่านตามลำดับตั้งแต่โพสต์แรก มิฉะนั้นท่านอาจสับสนและไม่เข้าใจ)