หมู่ถ้ำเบดซา Bedsa หรือ Bedse Caves เข้าใจกันว่าสร้างสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีอายุประมาณ 2,300 ปี อยู่ในเมืองปูเน่ รัฐมหาราษฏระ ห่างจากเมืองมุมไบ 120 กม.
พระพุทธศาสนามีมาก่อนศาสนาฮินดู
จากพระไตรปิฎกกล่าวได้ว่าตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงสมัยพุทธกาลยังไม่มีใครสอนเรื่องพระเจ้าเป็นผู้สร้าง
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนเรื่องชนชั้นหรือคนไม่เท่ากัน
และประเพณีสมัยนั้นก็ยังเป็นชายสู่ขอหญิงเพื่อแต่งงาน หมู่ถ้ำต่างๆ
ก็ยังเป็นหลักฐานยืนยันเป็นอย่างดี เนื่องจากไม่มีศาสนสถานของศาสนาใดเก่าแก่กว่า ในสมัยพุทธกาลจนถึงสมัยพระเจ้าอโศกยังนิยมสร้างวัตร(วัดในภาษาไทย)ตามถ้ำ
ไม่นิยมสร้างวัตรในที่แจ้ง
ศาสนาฮินดูนับถือตรีมูรติ มีพระศิวะเป็นผู้สร้างโลก
สอนเรื่องชนชั้นมีวรรณะต่างๆ ๔ วรรณะคือพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์และศูทร
วรรณะจัณฑาลก็คือเป็นขอทานได้อย่างเดียว ไม่นับเข้าในสังคมเลย
รวมทั้งประเพณีหญิงสู่ขอชายพระพุทธเจ้าสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดของสัตวะทั้ง ๓๑ ภูมิ (สัตวะคือผู้ท่องเที่ยวไปในวัฏฏะสงสาร ซึ่งมีทั้งหมด ๓๑ ภูมิ) มีการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบสิ้น โดยมีกรรมและวิบากสร้างภพ ภูมิที่ตนจะไปเกิด ไม่มีใครมาบันดาลให้ ชาวพุทธจึงควรมีความเชื่อที่ถูกต้องก่อน
นิยตมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิดที่ร้ายแรงนำไปสู่อบายภูมิแน่นอน เป็นกรรมหนัก คือครุกรรม) มี ๓ ข้อคือ
๑.อเหตุกทิฏฐิ ไม่เชื่อในเหตุคือชาติที่แล้วๆ มาว่ามีจริง ความเห็นผิดซึ่งยึดถือว่า ความเศร้าหมอง หรือความบริสุทธิ์ของสัตว์เกิดขึ้นเอง ปฏิเสธทั้งเหตุและผล เป็นการห้ามทั้งกรรมและวิบาก
๒.นัตถิกทิฏฐิ ไม่เชื่อในผลคือชาติหน้าและชาติต่อๆไปว่ามีจริง ผลของการกระทำย่อมไม่มี เป็นการห้ามทั้งกรรมและวิบากเช่นกัน พวกที่เชื่อว่าตายแล้วสูญจัดอยู่ในข้อนี้
นิยตมิจฉาทิฏฐิทั้ง ๓ ข้อนี้หากไม่แก้ไขจะไปนรกทันทีในชาติต่อไป ไม่มีระหว่างคั่นคือครุกรรม แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ เป็นเครื่องกั้นทั้งสวรรค์ และมรรคผลนิพพาน เป็นตอของวัฏฏะ คือไม่สามารถออกจากสังสารวัฏได้
จะเห็นได้ว่า แม้แต่ชาวพุทธเองก็มีไม่น้อยที่ไม่เชื่อเรื่องชาตินี้ชาติหน้า พ่อ แม่ พี่ น้อง ฯลฯ รวมถึงโลกที่ตนอาศัยอยู่ย่อมเกิดจากตนเองในชาติที่แล้วๆมาเป็นผู้สร้าง ไม่ใช่พระเจ้าแต่อย่างใด
ภาพถ่ายไล่จากซ้ายมาขวา Bedsa หรือ Bedse Caves |
เขาไม่ให้เข้าจ้ะ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น